วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

Young Thai poets (3)

In English, Reading matters on 05/09/2010 at 8:45 pm


What happened to the fellow?
Knowing I was going through a Thai poetry phase, a friend gave me a small collection of poems entitled Typhoon Season in Paradise, by Uten Mahamit, printed twice in 2007 and the eighth such collection for a man who must be in his early thirties and has also published at least two volumes of short stories.
The title is an echo to Rimbaud’s Season in Hell, the book is dedicated to him and the first twenty pages are about him.
Symbolism and wrong-footing are two of the tools of Uten’s trade, who shows here a predilection for travel by train and trains of dejected thought through ‘tunnels of fog’ and rare words arranged in deft concatenations of sounds one can admire but not translate. For instance: phom deun dui lui lip jip narmkhang jark phlai mork – ‘I wade far into the fog taking sips of its trailing dew’ may catch (most of) the meaning but not the music, assonances and beat. Blame my lack of talent, or consider that if Thai as a language is a church organ, English is a harmonium, and French – ah, French, an accordion perhaps.
Most of the book is free verse, which also sometimes takes the shape of prose as in the following scarlet piece.

City dog

In a previous life I was born a dog no one had to suffer mouth cramps giving a name to. I remember that almost all my life I spent crouched gnawing on bitter old bones with a feeling of despondency.
As dogs go, I wasn’t good at barking or howling at all, to the point of getting annoyed by my own noise, but I was one of those dogs that are observant, wary and find fault with everything.
Living around foundation posts by a stinky flooded canal along with emaciated people, fat rats, lethargic cats, cockroaches, stuff, bottles, trash, booze, food leftovers, fuggy abomination all, each day went by too dreadfully to brag about.
In the end, I lay dying on the roadside like a shagged mangy dog, gazing vacantly at the society of the time full of terminal diseases nothing could treat. I unsteadily chased after the smells of food-on-foam scattered and stained all over as the parade of love of the Thai nation shattered. I remember something else that was disgraceful, which was I crouching helpless without the strength to get up, cross the road and get car-jumped dead on the spot as fellow dogs do.

Obviously, that city dog has been reborn an astrophysicist.
His latest, just published collection of poems, entitled Korp (an archaic term meaning ‘consisting of’, ‘in addition’), I am going to cannibalise – not for its poetry, which I find hard to understand at all, being no astrophysicist myself, but for its precious footnotes, telling me how to translate ‘antiparticle’, ‘antimatter’, ‘dark matter’, ‘fusion’, ‘initial singularity’ or ‘cosmic background radiation’ (to mention only words culled off the first four pages) and even … what they mean.
Amazing! How does one go from, say, ‘Infection of dental roots’ (It’s happening again | Rose petals out of kilter | Toothbrush-thick thorns squeezing [sic] sticky dew out of the fog’s nose (praengfan narm beep narmkhang jark jamook mork)…) to paeans entitled ‘Comet crossing a new galaxy’, ‘Acid rain over dull dark matter’, ‘Plummeting towards the irregular galaxy’ or ‘Radioactive matter under sand cover’ and crammed with Cape Canaveral mumbo-jumbo?
I bet his next collection will trawl cyberspace and treat us to Silicon Valley slang. If he hasn’t been there done that yet.


ที่มา http://marcelbarang.wordpress.com/2010/09/05/young-thai-poets-3/#respond

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โอ๊ทส์ ยากส์!


เรามักมีโอกาสเต้นแร้งเต้นกา

ตามการตัดสินใจแต่ละเรื่องของคุณพี่รัฐบาล

อาฮู้! เราคือนักวิชาการในสมาคมยายแร้งทึ้ง

หรืออาจจะเป็นแค่หมาที่ขยันเห่าเจ้าของบ้าน

เรามักมีโอกาสหยิบยื่นยิ้มสยามไม่หุบ

วิ่งเปี้ยวไปเช่าสูทร่อนก้นส่ายตูดไม่หยุด

โอว! หน้าที่หลักๆ คือคลำเป้าตั้งประเด็นชี้โด่

ปลุกอารมณ์ข้อมูล วิเคราะห์คลึงจุดกระสัน

หลั่งเสร็จก็ใช้ทิชชูเช็ดน้ำลาย ขายค่าวิทยากร

เราสวมหน้ากากนักวิชาการวิกล

นานจนโวยวายตัวตนใต้หน้ากากไม่เป็น

จุ๊ๆ จุกคอหอยจนลิ้นแถกขี้ปากไปถึงตาตุ่ม

เครียด! เสือกเกิดเป็นมนุษย์มีโลภ โกรธ หลง


อุเทน มหามิตร 2552

ที่มา http://starrynightsociety.blogspot.com

กฎเหล็กของหญ้าเจ้าชู้


กฎเหล็กของหญ้าเจ้าชู้
คือ เกาะขากางเกงไม่เลือกหน้า
เนื้อผ้าอาจเป็นอุปสรรคเรื่องชนชั้นหนาบางทางสังคม
แม่งต้องโค่นทลายความเลื่อมล้ำห่าเหวนี้ให้จงได้

แม้บางเวลาการชะเง้อมองหาทุกเวลาร่ำไปนั้น..
มันแสนเจ็บปวดและน้ำเน่า
แต่การห่างเหินจากขากางเกงจะยิ่งทำให้แย่ลงไปอีก
ยิ่งรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างไร้ค่าไร้ความหมายไร้ยางอาย

ถ้าสวรรค์มีตาต้องส่งขากางเกงยาวๆ เดินโฉบมาบ้างสิน่า
จะข้างซ้ายหรือข้างขวา ขาวสะอาดหรือดำสกปรกซกมก
ไอ้คนสวมจะหัวเราะร่วนหรือร้องไห้อาบน้ำตา
มันจะบ้าอับปรีย์ หรือหล่อเทพบุตรฉุดไม่อยู่
ยังไงซะ, ขากางเกงแม่งทุกตัวก็มีค่ามีความหมายเท่าเทียมกัน !

อุเทน มหามิตร 2552

หมาย เหตุ : งานเหล่านี้ คัดมาจากหนังสือชื่อปก “กระอักกระอ่วนร่วมสมัย” ซึ่งอันที่จริงมันยังไม่ใช่หนังสือเป็นเล่ม คือ เป็นแค่ต้นฉบับขี้ทูดค้างเติ้ง ปึกหนึ่ง พูดตรงๆ ..ก็คือ ไม่มีเงินเข้าเล่ม นั่นเอง.


ที่มา http://starrynightsociety.blogspot.com

บทสัมภาษณ์ อุเทน มหามิตร จากนิทรรศการเชื้อราและทากเปลือย



บทสัมภาษณ์ อุเทน มหามิตร จากนิทรรศการเชื้อราและทากเปลือย


เมื่อ ปี 2550 "ฤดู มรสุมบนสรวงสวรรค์" ของ อุเทน มหามิตร เป็น 7 ใน 8 ผลงานกวีนิพนธ์ ที่เข้ารอบสุดท้ายซีไรท์ จากจำนวนทั้งหมด 76 เล่ม นั้นพอจะทำให้ชื่ออุเทน มหามิตร เป็นที่รู้จักอยู่บ้างในแวดวงวรรณกรรม ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ผลงานแนวเหนือจริงที่อุดมด้วยพลังแห่งจินตนาการและ มวลสารแห่งความอัศจรรย์ใจเล่มนี้จะได้รับการยอมรับบ้าง แม้ว่าจะเป็นเพียงหนังสือทำมือ ที่ผลิตด้วยมือของกวีเองเพียง 100 เล่มก็ตาม
อุเทนบอกว่า

"มันไม่ใช่เรื่องจะต้องมาแนะนำตัว"

อุ เทนเรียนจบจิตรกรรมจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยวิทยานิพนธ์ในรูปแบบวรรณกรรมที่ใช้ชื่อว่า"นิทานอิสระ" เคยไปสอบเรียนต่อที่ศานตินิเกตันแต่สอบไม่ผ่าน อุเทนบอกว่า
"งานของผมคงไม่มีปรัชญา"

ปัจจุบันยังคงวาดรูปและเขียนบทกวีสยดแสยะ ที่พะเยา เชียงราย สะเมิง หรือ แม่วางขึ้นอยู่กับฤดูกาล อุเทนชอบทำงานตอนกลางคืนเหมือนนกฮูก
ตก กลางคืนเรี่ยวแรงความคิดความอ่านของผมเปล่งปลั่งยังไงบอกไม่ถูกต่างจาก ตอนกลางวันที่ไม่มีเรี่ยวแรง ซึม ป่วย ท้องไส้ป่วน และสะลึมสะลือ แต่เมื่อตอนบ่ายนี้ ผมบังเอิญได้ยินโฆษณาทางวิทยุ"ลูก ผู้ชายตัวจริง ยืดอก พกถุง แล้วตรงไปหาน้องนิ่ม" !!! แล้วมันเงียบไปครู่หนึ่ง(ให้ผู้ฟังตกอยู่ในอาการมึนงงและขบคิด)ก่อนตะโกนดัง ลั่นด้วยความสะใจ "ก็น้องนิ่มซี่เส็งนั่นไง" เออ..มึงอยากให้กูไปกู้หนี้ยืมสิน และผูกขอตายเพื่อปลดหนี้มึงนี่เอง

อุเทนมีโรคประจำตัวเรียกว่า
"โรคลำไส้ไวต่อความรู้สึก"
ตั้งแต่ ท้องไม่ดีคราวก่อนโน้น ถึงตอนนี้ยังไม่หายเลยครับ ในหนังสือบอกไว้ว่า ลำไส้คือสมองส่วนที่สอง ชั่งน้ำหนักล่าสุดก่อนขึ้นชกจริง อยู่ที่ 54-55 กิโล ผมเดินไม่ค่อนเท่เท่าไหร่ และกลายเป็นภาพสโลโมชั่น จึงปฏิเสธงานเดินแบบชุดว่ายน้ำชายไปอย่างน่าเสียดาย ผมรู้สึกได้เลยว่า ภายในร่างกายกำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างขนานใหญ่ กลไกการเผาผลาญพลังงานถูกรื้อซ่อม ฯลฯ..สุขภาพคือกระบวนการเคลื่อนหมุนชีวิตไปในทิศทางของโชคชะตาบำบัด

อุเทนแปลกแยกจากคนอื่น
ความ จริง ผู้คนต่างแปลกแยกด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ก่อนที่จะอ้าแขนรับรับเงื่อนไขสุดวิจิตรพิสดารของสังคมเพื่อคูณทบเรื่องชน ชั้นเข้าไปอีก เวลาเริ่มเปลี่ยนผ่านความคุ้นเคยทั้งหมด แต่มันดูจะไม่มีประโยชน์ คนเรามาไกลก็จริงแต่แม่งไม่หันกลับไปมองก็เลยไม่รู้ว่าไกลแค่ไหนและหลงเหลือ อะไรบ้าง

ปัญหาโลกร้อนมีผลอะไรกับอุเทน
มัน เป็นปัญหาคอขาดบาดตายของทุกคน แต่แปลกที่เป็นการฆ่าตัวตายที่นุ่มนวลและสะดวกสบายจนชีวิตเราขาดซะไม่ได้ และการรณรงค์ไม่ว่าคำขวัญ หรือชักชวนด้วยคำพูดสักประโยคหนึ่งของดาราชื่อดัง มันช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมไร้ที่ติที่สุดแล้วในบ้านเมืองเรา ซึ่งถ้าจะออกกฎหมายบังคับใช้เอาสักข้อเดียวเกี่ยวกับแก้หรือลดปัญหาโลกร้อน มันจะดูเผด็จการณ์คนเกลียดทั้งประเทศอย่างงั้นหรือไง...? ผมเหนื่อยจะโยงไปถึงระบบระบอบทุนนิยมบริโภคที่น่าสยดสยอง บางทีเรารู้ตัวอยู่หรอกว่าเราคือสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่ติดที่ขี้เกียจจะเปลี่ยนแปลงตัว ก็เท่านั้นเอง(สถานการณ์บีบคั้น) ทากเปลือยคืบคลานท่องโลก ด้วยเนื้อตัวมันเลื่อมและเปลือยเปล่าเหมือนเด็กแรกเกิด พวกมันคือญาติของหอยทากซึ่งบรรพบุรุษได้สลัดเปลือกออกเมื่อหลายล้านปีก่อน จนมีเพียงผิวหนัง กล้ามเนื้อและอวัยวะภายในที่คืบคลานไปตามพื้นมหาสมุทรและยอดปะการังทั่วโลก โดยทิ้งคราบเมือกเป็นทางไว้เบื้องหลัง" (อ้างอิงจากนิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับประจำเดือนมิถุนายน 2551, หน้า 108)

เพราะอะไร?อุเทนถึงอยากให้เริ่มบทสัมภาษณ์นี้ด้วยข้อเขียนเกี่ยวกับทากเปลือยจากนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก..
คง เพราะผมใช้มันอ่านตอนเปิดงานนิทรรศการนี้.. มันเหมือนเป็นการแนะนำใครซักคนที่มีเนื้อตัวบุคลิกท่าทางแปลกประหลาด เตะตาแต่แตะต้องมันไม่ได้(สีสันสุดตระการตาของทากเปลือยคือพิษทั้งน้าน)ใน ตัวมันเอง ..และมันน่าจะดีกว่าที่จะมาอ่านบทกวีให้ฟังอย่างที่ใครๆ คาดหวังและเดาทางถูก คืองี้ ใครที่จองจำงานเขียนอยู่ในวงล้อวงจรกวีนิพนธ์ แล้วพอเป็นที่รู้จักสิ่งที่ตามมามันอาจจะมีความคาดหมายว่า เวลามีงานมหรสพทั้งรื่นเริงและไว้อาลัยหรือแม้กระทั่งการทวงหนี้..ผมหมายถึง ว่า มันเกี่ยวกับเกียรติหรือการชื่นชมยอมรับรูปแบบไหนกัน(รูปแบบชนชั้นสังคมสูง ต่ำดำขาว) ผมเคยแสดงการอ่านมาครั้งหนึ่งในงานหนึ่ง ผมสับสนงุนงงอย่างบอกไม่ถูก ถามตัวเองว่านี่กูทำไปทำไมว่ะ ใครฟังแล้วเข้าใจบ้างเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือ เสียงปรบมือหลังอ่านบทกวีจบมันฟังดูแปลกๆ เหมือนเป็นการแสดงของมนุษย์ต่างดาว แต่เป็นสัญญาณจังหวะตัดต่อแบ่งขั้นตอนลำดับช่วงเวลาที่ดีในการมหรสพนั้นๆ หลังจากงานนั้นผมกลับมาขบคิดว่ากูไม่ถนัดเรื่องอะไรอย่างนี้เลย กูเขียนมันขึ้นมาอย่างหัวแทบระเบิดแล้วยังมายืนอ่านให้พวกมึงฟังอ่านอีก ผมว่าไอ้พวกนักกวีมันตั้งคำถามอะไรพวกนี้อย่างรำคาญสุดหัวใจบ้างไหม แต่ที่รู้ไอ้พวกทำงานศิลปะวาดมันตั้งคำถามกับไอ้ที่ทำกันอยู่หรือสืบทอดต่อๆ กัน เหล่านี้ อย่างบ้าคลั่ง ช่วงหนึ่งสมัยเรียนปีสาม ผมแอนตี้อาร์ตฉิบหาย... เอาเป็นว่า, บทความสารคดีทากเปลือยที่สุดประหลาดใจสำหรับผมนี้(รวมถึงรูปทากเปลือยสดๆใน เล่ม) ทำเอาบทกวีที่วนเวียนตามวัฏจักรตกขอบเหวไปในทันที อย่างนี้คงไม่มีใครกล้าเชิญอุเทน ไปอ่านบทกวีที่ไหน เชิญ ได้ครับ..แต่ขอผมไปเรียนร้องเพลง เรียนการออกเสียง เปล่งเสียง ไล่เสียง ค้นหาคอร์ดสืบหาคีย์ ให้ได้ก่อน ไม่รู้เหมือนกันต้องใช้เวลาเรียนกี่ปี คือผ่านตรงนี้แล้วผมค่อยมารับงานอ่านบทกวีเปิดงานทุกงานไม่เลือก เห้อ มันยากนะ ถึงตอนนั้นแล้วชื่อเสียงก็จะเป็นตัวบงการชีวิตเราอีกที ถ้าติดใจก็คงเข้าสู่วงการบันเทิงเล่นเป็นพระเอกละครจำเลยรักตบนางเอกเลือด กลบปากกันไปเลย

เข้าวงการไม่ใช่ง่ายๆ อุเทนต้องไปใช้ชีวิตเรียลลิตี้โชว์ก่อนถึงจะได้เป็นพระเอกละครไปตบนางเอกได้
ครับผมเชื่ออย่างนั้น ครับ

ประทีป คชบัว(ศิลปินแนวเซอร์เรียลลิสต์) กล่าวไว้ว่า "โลกไม่เคยทำร้ายใคร" เค้าพูดกับอุเทนว่ายังไง?
(เฮ้ย มึงรู้ได้ไงเนี่ย)ครับ, ผมจำได้ว่าก่อนประโยคนี้ พี่แกบอกผมควรมองมุม....ของชีวิตบ้าง พอดีผมหยิบหนังสือศิลปะเด็กมอแกนขึ้นมาพอดีก็เลยตอบไปว่า "นี่ไง ผมให้เด็กๆ พวกนี้ช่วยผมมอง ผมมองคนเดียวแล้วไปไม่รอดครับ" ผมตอบไปอย่างงั้นได้ไงก็ไม่รู้เหมือนกัน เสียใจกับตัวเองลึกๆ อยู่เหมือนกัน

อุเทน มักจะทำงานศิลปะกับเด็กๆ อุเทน บอกผมว่าได้ดูหนังเรื่อง "อาข่าผู้น่ารัก" เป็นยังไงบ้าง?
คือ.. ในหัวสมองของผมอยากหาหนังน่ารักๆ ใสซื่อใกล้ๆ ตัว(หนังไทย) สักเรื่องมาดู เพราะมันมีแต่เรื่องหนักๆ อัดแน่นเป็นกองขยะถมทะเลทำเกาะเต็มไปหมด "อาข่าผู้น่ารัก" น่าจะเป็นทางออกฉุกเฉินที่ดีสำหรับผม..คิดว่างั้น เช่าแผ่นมาดูสิบห้าบาทยืมได้หนึ่งวันต้องคืน เอ่อ..แต่ดูไปได้ครึ่งเรื่องมีคำถามเก่าๆ ในขวดใหม่เต็มหัวไปหมด มีคำถามเก่าๆ
ทีวี ชุมชนหมู่บ้านชาวเขา

มันยังไง?
ตก เย็นรีบมานั่งหน้าจอจดจ้องตัวเองหรืออีกคนในทีวี...คืองี้ ผมว่าวิถีชีวิตเขาตกเย็นเลิกงานจากไร่สวนได้ผิงไฟนั่งคุยกัน แลกเปลี่ยน ปรับความเข้าใจ ปรึกษา หรือขอความช่วยเหลืออะไรกันก็ว่าไป แต่นี้ เอ้า มานั่งจ้องหน้าจอทีวี ทีวีมันโต้ตอบกับเราได้ซะที่ไหนกัน มันก็อัดๆๆ ภาพ ซึ่งเป็นภาพตัดสลับเร็วชนิดเราไม่ต้องมาทบทวนความคิดความเชื่อ(ยังไม่ต้อง นับโฆษณาในทีวีจริงๆ ซึ่งลูกๆ เราร้องเพลงเต้นรำตามโฆษณาสินค้าอย่างร่าเริงอารมณ์แจ่มใส) จบรายการก็เข้านอน บางคนก็หลับมันหน้าทีวีก่อนรายการจบเพราะมันน่าเบื่อ แต่ไม่มีอำนาจจิตพอจะไปปิด ดึงปลั้กทิ้ง... ผมดูทีวีน้อยมาก บางวันดูจนอยากจะอ้วก ไม่ใช่ไม่ดู มันใส่ใจอยากนำเสนออะไรดีๆ แก่เราตลอดเวลา อะไรไม่ดีมันเซ็นเซอร์ให้เรา คำพูดอะไรสกปรกๆ มันก็ทำให้สะอาดสะอ้านด้วยการทำเสียงให้หายซะ อะไรพวกนี้ ทีวีเหมือนคนๆ หนึ่งที่ไม่ยู่ในโลกความจริง ไม่ฟังคนอื่น มันเอาแต่พูดเรื่องของมัน เท่านั้นยังไม่พอมันไม่หยุดเว้นจังหวะให้เราหยุด ไตร่ตรอง คิดหน้าคิดหลัง เวลาสำหรับมันเป็นเงินเป็นทองมีกาลเทศะ และช่างสรรหาสุดประมาณ ในเรื่องทีวีชุมชนมันเป็นเหมือนสื่อ เป็นตัวกลางเชื่อมประสานความรู้สึกบางอย่างที่กรอบของผู้ใหญ่เข้าไม่ถึง ตัวกลางจริงๆ น่าจะเป็นความใสซื่อบริสุทธิ์ไม่มียูนิฟอร์ม(ในเรื่อยูนิฟอร์มของ "มี่จู" เป็นอัตลักษณ์ชนเผ่าที่ถูกใช้เป็นช่องทางหาเงินได้แบบไม่เสียเหงื่อเลย)จริง ใจ ไม่ต้องฟอร์ม ความรู้สึกถึงสายสัมพันธ์มันลึกซึ้งกว่ากฎระเบียบประเพณี แต่ขณะเดียวกันไอ้ทีวีนี่แหล่ะเป็นต้นแบบสร้างให้คนดูทีวี เลือกว่าจะสวมสูทผูกไทเจาะหูแทงสะดือสักยิงเลเซอร์ จะตามเทรนด์ไหน ข่าวมวลชนจะนำเสนออะไรใหญ่ๆ ในสถานการณ์บ้านเมือง หรือไอ้ที่มันสะเทือนขวัญในทางเนกกาทีฟ ลงรายละเอียด(สกู๊ปข่าวแบ่งเป็นตอนๆ)การฆาตกรรมระหว่างมนุษย์ด้วยกัน มันช๊อคและจริง
อาข่าเลยไม่น่ารักจริงๆ มันมีหลายมิติ เรื่องคนชายขอบ คนไร้สัญชาติ ผมขอข้ามๆไปได้ไหม?

ไม่ได้ครับ...
(มึง)ไปหาหนังสืออ่านเอาเองละกัน ไอ้เล่ม "สีแท่งกล่องหนึ่งในแสงทะเล"

อ่านแล้ว ห่วยฉิบหาย
อ้าว มึงพูดอย่างงี้ได้ไง เดี๋ยวมีชก

ใจ เย็นครับ แค่นี้ประเทศก็จะแย่อยู่แล้ว ผมชักจะรู้สึกแล้วสิ ว่า โลกมันไม่น่าอยู่เอาเสียเลย? โดยเฉพาะเวลาต้องคุยกับนักเขียน...............................เฮ้อ
(หลังจากสิ้นสุดเสียงทอดถอนใจ ทั้งคู่ต่างชักชวนกันไปกินข้าวกลางวันแถวตลาด)
(สถานการณ์ไม่ปะติดปะต่อ)

จริงๆแล้ว อุเทนเป็น เชื้อราหรือทากเปลือย?
ผมเป็นอะไรก็ได้ ผมเป็นคนของประชาชน ลอกป๋าเบิร์ดมา

พูดจาดีดีมีสาระเป็นไหมครับ?
ครับ ขอโทษครับ..............................เฮ้อ

(สถานการณ์เดินทาง)
ทำไมอุเทนไปอินเดียไม่มีคอ?

ไปหาความรู้ คืออยากจะไปเรียนต่อศิลปะที่ศานตินิเกตัน แต่เขาไม่รับผมเข้าเรียน

ทำไมอุเทนไปนอร์เวย์พริบตาเดียว?
ไปค้าแรงงานครับ แลกกับตั๋วเครื่องบิน จริงๆไปสร้างบ้านไทยให้คนนอร์เวย์ใช้พักผ่อนหย่อนใจมากกว่าครับ
สวย ไหมครับ นอร์เวย์พริบตาเดียว สวยมากครับ แต่พริบตาเดียวจริงๆ เข้างานเก้าโมงเช้า เลิกงานสี่ทุ่มครับ เพราะพระอาทิตย์แม่งไม่ยอมตกดิน ไม่มีเวลานั่งวาดรูปทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างที่ใจอยากเลยครับ เป็นสิ่งที่น่าเศร้ามากครับ (อุเทนเดินทางไปนอร์เวย์ เพื่อสร้างศาลาไทยร่วมกับทีมงานมูลนิธิที่นา ในโครงการหนึ่งปี)

อุเทนไปอยู่ที่ไหนมาบ้าง?เห็นว่าเดินทางอยู่ตลอด?
.............................. (นึกนาน)(พอ...มึงไม่ต้องนึกแล้ว)คนรุ่นใหม่(ที่มีสมอง)มักจะศรัทธาต่อการ เดินทางสำรวจโลก อุเทนคิดว่าอย่างไร? คำถามแม่งตอบยาก

ทำไมหลังจากที่กลับจากอินเดีย อุเทน เลือกที่จะไปอยู่อาศรมวงศ์สนิท?
โชค ชะตามันพาไป ผมก็ตามๆ มันไป จริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้หรอก อะไรเลือกอะไร ใครเลือกใคร ทำไมเลือกจะไปที่นั้นๆ ในจังหวะเวลานั้นๆ เอาเป็นว่าเป็นเรื่องกลศาสตร์ควอนตัมก็แล้วกัน

(สถานการณ์จริงชั่วขณะจิต)

ด้วย ความจงใจที่จะให้บทสัมภาษณ์ตอนที่ 1 เต็มไปด้วยความสับสน วุ่นวายและไม่ปะติดปะต่อ ซึ่งดูจะ "เหนือจริง" แต่นั้นเป็น "ความจริง" อย่างจงใจเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอุเทน มหามิตร ตัวต่อตัวอุเทนกลับมาจากเชียงใหม่ ผมไปงานมหกรรมหนังสือ มอชอซีเอ็มยูบุ๊คแฟร์ เป็นงานที่น่ารักมากครับ(อ้าว พูดยังกับว่าเป็นคนแน๊ะ) พี่ๆบรรณารักษ์ใจดีกับผมมาก พิธีกรพยายามอย่างที่สุดเพื่อจะทำความเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดแล้วแปลความหมาย เพื่อส่งถึงผู้ฟัง สาเหตุหหนึ่งเพราะผมกับเขายังไม่ได้เริ่มทำความรูจักกัน จึงกลายเป็นผมพูดน้อยเหลือเกิน ตอบอะไรแค่สั้นๆ คือ ถ้าเป็นคำถามสเกลเล็กๆ ผมจะตอบได้ยาวๆ กว้างๆ นอกเรื่องได้มากกว่า และสนุกด้วย..คิดว่างั้น แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ พิธีกรก็ต้องทำหน้าที่ของเขาเอาให้อยู่ในประเด็น เหนื่อยและยากเหมือนกัน แต่สนุกตรงนี้แหล่ะ

อุเทนพูดถึงงานเชื่อราและเชื้อโรค
งาน ชุดเชื้อราเป็นงานที่ทำเมื่อ 3 ปีก่อน ช่วงที่เพิ่งรู้จักและมาพำนักกับอังกฤษใหม่ๆ ที่สำนักเพ้นท์ปาล์มโทนโท่ (เลิกกิจการไปแล้ว) เดิมชื่อว่า "สนิท ชิด เชื้อ" ผม รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของคนหรืออะไรก็ตาม ต่างมีกระบวนการคล้าย เชื้อรา คือมันต้องมีการใกล้ชิดกันก่อน แล้วค่อยใช้เวลาในการบ่มเพาะ ผมเอาผ้าใบไปหมักกับขนมปัง น้ำ ชา กาแฟ ทิ้งไว้ 10 วันในห้องอับๆ จึงเอาออกมาขูดราทิ้งบางส่วน แล้วค่อยเริ่มเขียนภาพใบหน้า ของเชื้อรา ส่วน ทากเปลือย ผมพบมันโดยบังเอิญจากนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก มันเป็นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่เล็กแต่สวยมาก สีสันของมันสดใสทั้งที่มันอยู่ใต้ท้องทะเลลึก แต่ในความงามนั้นกลับมีพิษร้ายแรง

ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้
ครับ, เรียกว่า ประสบความสำเร็จตามที่คาดการณ์ไว้มากกว่า งานดอร์อิ้งสิ่งมีชีวิตเล็กๆ กว่าร้อยชิ้น มีผู้ชมเอานิ้วไปแตะๆ..เอ่อ ทำไมมันเป็นยังงั้น? แต่เอาเถอะ เหตุการณ์ที่ตามมาคืองานวาดเส้นด้วยปากกาหมึกซึมซึ่งยังไม่แห้งสนิทจึงเละ! ผู้ ชมได้ทำลายชิ้นงานศิลปะเล็กๆ อันมีคุณค่านั้นแล้วโดยไม่ตั้งใจแต่เป็นธรรมชาติของความอยากรู้(เป็นวิธีทำ ความรู้จักแบบหนึ่ง) เขารู้สึกผิด ยิ่งเป็นคนญี่ปุ่น เขาจะพูด "โกเมน ๆ ๆ ๆ" ไม่หยุด สำหรับ ผมเขาได้ฆาตกรรมส่งมีชีวิตตัวหนึ่งเล็กๆ ซะแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องเสียหายเสียของอะไรนะครับ คือ อยากจะบอกว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ พวกนี้บอบบางมาก ความสัมพันธ์ก็เป็นสิ่งที่เปราะบาง... ผมรู้สึกว่า การแนะนำตัว(เป็นวิธีทำความรู้จักแบบหนึ่ง)ด้วยการสูญเสียนั้นสะเทือนใจและ บางทีมิตรภาพนั้นจะมั่นคงยืนยาว งานเชื้อราก็เหมือนกัน กว่าจะบ่มเพาะให้ราขึ้นจนเรียกได้ว่าสนิทชิดเชื้อต้องใช้เวลาในความเป็นกัน เอง ความระมัดระวัง ความเข้าใจใส่ใจหรือปรับความเข้าใจ ระหว่างกันและกัน เรียกว่าบ่มนานจึงได้รสชาติที่หวานหอม

ทำอะไรต่อไป?
เขียนหนังสือที่ค้างไว้ให้จบ

เขียนเรื่องอะไรอยู่?
อ๊ะ บอกเลยก็ได้มีสามเรื่อง สลับร่างกันเขียน แต่ยังไม่บอกชื่อปกช่วงต้นปีน่าจะเสร็จ ถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นกับผมเสียก่อน

บทสัมภาษณ์นี้จบแล้ว แต่เนื่องจากอุเทน มหามิตร เกิดญาณทัศนคติที่ว่องไวปานแดงรูปหัวใจ จึงพูดโพลงต่อหน้าต่อตาผมว่า...
"ผมตั้งใจจะจบบทสัมภาษณ์นี้อย่างล้มเหลวๆ และอ่านไม่รู้เรื่องเหมือนตอนแรกๆ เพื่อเป็นสถานการณ์สุดท้าย"

ทำไม?!
ความ สำเร็จ..สูตรความสำเร็จมันเป็นสิ่งที่รู้เรื่อง ทำไมห้องแกลเลอรี่ต้องเป็นสีขาว ทำไมคนต้องมางานเปิดนิทรรศการกันเยอะๆ ทำไมต้องแสดงความยินดีกับการทำงานศิลปะบ้าๆ บอๆ นี้ด้วยนะ แล้วก็เดินจากไป ศิลปะมันไม่ได้เปลี่ยนโลกหรอก โลกก็ไม่ได้มาเปลี่ยนแปลงศิลปะ เจ้าของแกลเลอลี่ก็ไม่ได้คาดหวังตรงนี้ มันเหมือนมีแต่เงาที่เดินตามเงา ความจริงเดินตามภาพลวงตาของความจริง เรามุ่งมั่นไปสู่ความล้มเหลวในแบบทากเปลือยได้ไหมและน่าเหม็นหน้าอย่างเชื้อ ราได้ไหม หรือทุบแกลเลอลี่ทิ้งเพื่อสนองความต้องการบางอย่างได้ไหม ทำไมการเมืองในประเทศนี้ถึงกู่ร้องก้องโลก ทำไมม๊อบแม่งทุกม๊อบต้องกินข้าวจากกล่องโฟม และยังไงต่อดี (มึงว่ามาเลย)

ได้ๆ ผมจะทุบแกลลอรี่ทิ้งตามที่อุเทนแนะนำ ใจผมอยากทุบแม่ง! ทุกอย่างเลยตกลงให้ผมจบบทสัมภาษณ์ได้รึยัง เท่านี้ผมก็เหลวพออยู่แล้ว จะอะไรกันนักหนา ให้ผมประสบความสำเร็จซักเรื่องได้ไหม อย่างน้อยก็เรื่องทุบ!ความคิดคนนี่แหละ

ปล. บทสัมภาษณ์นี้แต่งจากเรื่องจริง บุคคลสมมติ


ที่มา http://angkritgallery.blogspot.com/search/label/Uten%20Mahamid

บ้านที่ฉันอยู่


เช้าวันเดียวกัน แต่ทิ้งช่วงห่างหนึ่งเดือน

แมวสองตัวที่แม่เอ็นดูเลี้ยงไว้อย่างอ้วน!

มีอันต้องโดนรถชนตายกลางถนนหน้าบ้าน

ถึงแม้ มันผ่านมานานเป็นปีๆ แล้วก็ตาม

ถึงแม้อาหารแมวเม็ดสีช้ำๆ ยังอีกถุงใหญ่

ถึงแม้มีแมวตัวอื่นๆ เวียนมาออดอ้อน

แม่ก็ไม่คิดจะเลี้ยงแมวอีกเลย...

และ ถึงแม้ว่าในแต่ละวันๆ

ทุกครั้งเวลาแม่ปิดร้านข้าว

ทุกอย่างภายในบ้าน

รังแต่จะย้ำให้ยิ่ง..

เงียบเหงาเศร้าหม่น




อุเทน มหามิตร
16 พฤษภาคม 2553

ที่มา http://starrynightsociety.blogspot.com/2010/05/blog-post_20.html

กลศาสตร์ควอนตัม




กลศาสตร์ควอนตัม

เด็กชายที่ไม่มีหูเลยสักข้างเดียว
นั่งก้มหน้าวาดรูปสนามเด็กเล่นของงู
มีบันไดลื่นให้เลื้อยไถล
มีชิงช้าให้พันตัวเกาะแน่น
มีม้าหมุนให้เล่นตรวจจับกลิ่นรอบๆ
พ่อของเขาเมาได้ที่เดินหน้าแดงก่ำมาทางด้านหลัง
หยุดทำตาปรือเพ่งมองรูปไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายที่ไอ้ลูกชายกำลังวาด
"ทำไมเอ็งไม่วาดรูปคน! วาดรูปนายกกะหรี่หอกอะไรก็ได้" พ่อพ่นเสียงตวาด
"แบบนี้เอ็งจะกลายเป็นคนไม่มีสังคมรู้มั๊ย" พ่อหงุดหงิด ฉุนเฉียวหนักเข้าไปใหญ่
"เฮ้ย หยุดวาดได้แล้วไอ้ลูกเวร" พ่อง้าง ฝ่ามือจะฟาดบ้องหู ...ลืมไปว่าลูกชายไม่มี
พ่อบ้าก็เลยฟาดเข้าที่กลางหลังลูกชายซะเต็มแรง
ทำให้กระดูกสันหลังลูกชายแหลกไม่เหลือสักชิ้น
พ่อติดคุก 20 ปี จนหายบ้ากลายเป็นคนจิตใจดี
อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นลูกรักของผู้คุมและพัศดี
ได้พ้นโทษเร็วก่อนกำหนด กลับมาบ้านอีกที
เห็นลูกชายในสภาพมนุษย์งู บิดเลื้อยลำตัวเถลือกทุเรศทุรังเข้ามารัดกอดพ่อด้วยความดีใจ
น้ำตาของพ่อไหลเอ่อ อุ้มลูกชายที่ผอมเซียวและสูงยาวกว่าตนไปที่สนามเด็กเล่นทันที

อุเทน มหามิตร




หากพูดถึง อุเทน มหามิตร มีใครบางคนเคยแนะนำชายหนุ่มคนนี้ไว้อย่างนี้
“... ขอแนะนำว่าให้ลืมโลกแห่งความจริงไปก่อน เพราะเรื่องราวอันอัศจรรย์ จินตนาการอันแปลกแยกแตกต่างของเขาจะฉุดดึงคุณให้ดิ่งด่ำไปใต้มหาสมุทรแห่ง ตัวอักษรอันดำมืด ถ้าคุณเบื่อเรื่องเล่าเดิมๆ โครงสร้างแบบเก่า คุณจะค้นพบโลกใหม่ที่ทั้งตื่นเต้นและเร้าใจในอรรถรสของการเสกสรรจากชายผู้ นี้...”

ที่มา http://www.thaipoetsociety.com/index.php?topic=600.0


กอปร

บทกวีที่จะนำพาผู้อ่านผ่าทะลุห้วงจักรวาล
ออกสำรวจเวิ้งอาณาจักรมืดดำอันกว้างใหญ่

การนอนอ่านในอ่างอาบน้ำ
หรี่ไฟสลัวๆ จะได้อรรถรสเป็นพิเศษเลย


หีบดนตรีสีดำสนิท

ความหนาแน่นในแรงกดสุญญากาศที่เป็นลบ
ถอดแหวนเงาคลื่นหลุดจากสลักเกลียวสสาร
หีบดนตรีความตายของกลุ่มดาวคนยิงธนู
รอกุญแจดาวแม่เหล็ก*นานกว่าหมื่นปีแสง
ไขรหัสเงาคลื่นสงัดในสสารวิปลาสรูปแปร
ท่วงทำนองโหยหาซึ่งเคลือบแฝงรังสีเอ็กซ์เร้นลึก
แผ่วความโศกผกผันสลับขั้วแม่เหล็กอย่างรุนแรง
บางขณะล่องลอยไขว่คว้านิวเคลียสไฮโดรเจน
แต่บางขณะแห้งผาก กระด้าง และหน่วงหนัก
หีบดนตรีตรึงความสงัดเงียบ
การแปรธาตุและแผ่รังสีซึ่งสูญเปล่า
ดวงดาว มวลเมฆ เคมีดนตรี หายไปในอุโมงค์

*ดาวแม่เหล็ก
ดาวแม่เหล็กที่ความกว้างเพียง 15 กิโลเมตร แต่มีมวลมากพอๆกับ
ดวงอาทิตย์ ซึ่งองค์การอวกาศยุโรป (อีซา) ผู้นำ�ในการศึกษาครั้งนี้
พบว่าดาวดังกล่าวมีสนามแม่เหล็กรุนแรงมากเป็นอันดับต้นๆ
ในจักรวาล สูงมากกว่า 600 ล้านล้านล้านเท่าของสนามแม่เหล็กโลก

กอปร
อุเทน มหามิตร
สำนักพิมพ์ชายขอบ

สมองนัวเนีย


มันเหมือนจะยากกับการอ่านอุเทน
เพราะฉะนั้น
เรามักจะวาง "ความเป็นปกติ" ทิ้งไว้บนโต๊ะข้างๆ ไปก่อน
แล้วหยิบสิ่งที่ไม่ปกติมาสวม
สมองนัวเนียก็จะสนุกขึ้นมาเลยทีเดียวแหละ


ฝูงนกอพยพ

เส้นประเทศเป็นความกลวงของสติปัญญา

เปลืองเวลาจะสมมุติตามอาณาเขตแบ่งกั้น

ภูมิอากาศคือข่ายใยอารยะธรรมอันเก่าแก่

สรรพเสียงของลมคือภูตพรายแห่งอักขระสสาร

แสงและความมืดมวนเกลียวคลื่นถั่งจากสวรรค์

สายฝน หยดฝน และละออง ดั่งเชื้อเพลิงพราวใส

กระจกน้ำแผ่นกว้างสะท้อนเงาปีกเล็กๆ ที่ร่อนผ่าน

ทุกๆ เสี้ยวนาที เราทิ้งการเปลี่ยนแปลงไว้ข้างหลัง

อุเทน มหามิตร




สมองนัวเนียได้โอกาส พิมพ์ครั้งที่สอง เพิ่มเนื้อหา 35% ฉบับปรับปรุงหน่วยประสาทตุ่นๆ

หมายเลขมาตรฐานประจำหนังสือ ----
พิมพ์ครั้งแรก( 90 เล่ม) มกราคม 2552
พิมพ์ครั้งที่สอง( 60 เล่ม) มิถุนายน 2553
ความหนา 100 หน้า ราคา 150 บาท

สามารถติดต่อซื้อได้โดยตรงทางธนาณัติไปรษณีย์
อุเทน มหามิตร 90 หมู่ 8 ต.สันป่าม่วง อ.เมือง จ.พะเยา 56000

*ร้านหนัง {สือ} 2521 I www.room2521.com สนับสนุนการจัดพิมพ์

บนหนทางอันยืดยาว และเรื่องราวของฤกษ์ลางแห่งรัก



ความน่าสนใจของเล่มนี้ คือ
พื้นที่โล่งกว้างระหว่างบรรทัด
ที่อุเทนสร้างไว้

ภาพนิ่งไม่ปะติดปะต่อ
แต่ต่อเนื่อง คาบเกี่ยว ทับซ้อน
ชัดเจน แต่ ลางเลือน

การใช้คำแผ่วจาง บางเบา
แต่ภาพกลับปรากฏชัด หนักแน่น

เป็นอีกเล่มที่อ่านแล้วเหนื่อย
แต่สบายเหมือนนั่งอ่านบทกวีสีน้ำสวยๆ



ฤกษ์ลางแห่งรัก
อุเทน มหามิตร

พิมพ์ครั้งแรก เมษายน พ.ศ. 2553 จำนวน 80 เล่ม
ความหนา 60 หน้า ราคา 100 บาท




สามารถติดต่อซื้อได้โดยตรงทางธนาณัติไปรษณีย์
เลขที่ 90 หมู่ 8 ต.สันป่าม่วง อ.เมือง จ.พะเยา 56000